วันก่อนได้มีโอกาสพาครอบครัวขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกของนาฟต้าด้วยที่จะได้ขึ้นไปชมความงดงามของพระธาตุคู่เมืองเชียงใหม่แห่งนี้ครับ เราเริ่มออกเดินทางจากกลางเมืองเชียงใหม่ตอนประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ ผมบอกนาฟต้าว่าป่าป๊ากับมาม๊าจะพาขึ้นไปเที่ยวบนภูเขา แล้วจะเห็นเจดีย์สีทองสวยมากๆ ชื่อว่าพระธาตุดอยสุเทพ แถมยังมีระฆังอันใหญ่ด้วย นาฟต้าก็เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก เตรียมตัวหยิบกระเป๋าและสวมรองเท้าเองในทันทีที่เล่าจบครับ
ผมก็ขับรถมายังเส้นหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระหว่างทางจะผ่านมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สวนสัตว์เชียงใหม่ แล้วก็ผ่านน้ำตกต่างๆมากมาย (ผมก็หมายใจเอาไว้ว่าคราวหน้าจะพานาฟต้ามาเที่ยวน้ำตกมณฑาธาร ซี่งเป็นน้ำตกที่ผ่านระหว่างทางไปพระธาตุดอยสุเทพ ซะหน่อย) ขับขึ้นเขามาได้ซักระยะจะพบกับจุดชมวิว เห็นเมืองเชียงใหม่ในมุมสูงสวยงามมากครับ แถมยังได้พักซื้อผลไม้มาทานกันชื่นใจทั้งพ่อ แม่ และคุณลูกกันเลยทีเดียว
หลังจากที่ชมวิวและพักทานผลไม้กันอย่างจุใจแล้วก็เดินทางต่อครับ ขับรถขึ้นมาอีกอึดใจเดียวก็เจอกับลานจอดรถหน้าวัดพระธาตุดอยสุเทพครับ วันนี้คนไม่เยอะมากเท่าไร หาที่จอดรถได้สบายๆ จากนั้นก็พากันไปซื้อตั๋วรถรางขึ้นไปยังด้านบนวัดครับ ราคาตั๋วไปกลับสำหรับคนไทยท่านละ 20 บาท ส่วนเด็กๆขนาดนาฟต้าขึ้นฟรีครับ ตอนขึ้นรถรางนาฟต้าก็ตื่นเต้นดีใจไม่ใช่น้อยครับ ผมว่าแค่ได้พามาขึ้นรถรางนี้นาฟต้าก็รู้สึกคุ้มแล้วละครับ
พอขึ้นถึงด้านบนก็เข้าไปไหว้พระธาตุ ขอพรกันครับ มาถึงตรงนี้แล้วก็ขอเล่าถึงประวัติของวัดที่สำคัญอันดับหนึ่งของเมืองเชียงใหม่แห่งนี้หน่อยครับ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการะบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำทักษิณาวัตรสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081 สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้ทรงโปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร
วัดแห่งนี้นอกจากจะมีประวัติอันยาวนานแล้ว ยังมีความสวยงามมากเป็นพิเศษด้วยครับ องค์พระธาตุสีทองโดดเด่นตัดกับท้องฟ้าสีครามอย่างลงตัว และทิวทัศน์รอบๆก็สวยงามมาก ด้านบนรอบๆองค์พระธาตุจะมีลมพัดเย็นตลอดเวลาด้วยครับ
หลังจากที่ไหว้พระธาตุเสร็จแล้วผมและครอบครัวก็ลงมาเดินชมวิวรอบๆพระธาตุกันนาฟต้าก็วิ่งตีระฆังที่วางเรียงรายอยู่โดยรอบอย่างสนุกสนานครับ เดินชมวิวกันซักพักก็ถึงเวลาห้าโมงเย็น ผมเห็นว่าสมควรแก่เวลากลับแล้วจึงเรียกนาฟต้าให้กลับลงไปด้านล่าง แต่ขากลับนี้เราตัดสินใจไม่นั่งรถรางกลับครับ แต่เลือกเดินลงบันไดนาคหลวงทางด้านหน้าวัดแทน เพื่อเก็บบรรยากาศใหม่ๆให้กับนาฟต้าด้วยครับ
พอถึงที่ลานจอดรถก็เป็นเวลาประมาณห้าโมงครึ่งพอดี เดินผ่านหน้าร้านข้าวเหนียวหมูปิ้ง นาฟต้าก็ร้องของกินหมูปิ้งทันทีสงสัยจะเหนื่อยและหิวมาก สำหรับทริปนี้ใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมงครึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ประทับใจมากครับ นาฟต้าได้รู้จัดวัดที่อยู่บนภูเขา ที่มีชื่อว่าวัดพระธาตุดอยสุเทพ ได้เรียนรู้ว่ามีลิฟที่ลอยขึ้นแบบเฉียงๆได้ด้วย (ที่จริงมันคือรถรางขึ้นพระธาตุ เอ... หรือว่าอันที่จริงมันเป็นลิฟกันแน่ ผมก็ยังงงๆ) นาฟต้าได้เห็นเมืองเชียงใหม่ในมุมสูงงงงงงงง และที่สำคัญครอบครัวผมได้มาทำบุญไหว้พระให้จิตใจสงบ ได้ปลูกฝังให้นาฟต้ารู้จักเข้าวัดทำบุญด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น